วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วิวัฒนาการของช็อกโกแลต

วิวัฒนาการของช็อกโกแลต


          หลังจากที่ช็อกโกแลตถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการในช่วงยุคล่าอาณานิคมมาอย่างยาวนาน ในเวลาต่อมาเมื่อชาวอังกฤษผู้มีฐานะก็ได้ซื้อเมล็ดคาเคาแล้วเปิดเป็นร้านช็อกโกแลตแห่งแรกในกรุงลอนดอน (ปี ค.ศ. 1657) โดยเปิดเป็นร้านสภากาแฟ ผู้คนใช้เป็นสถานที่พบปะพูดคุยพร้อมดื่มช็อกโกแลตร้อน ๆ ไปด้วย แต่ก็จะมีเฉพาะคนมีอันจะกินเท่านั้นแหละที่สามารถเข้าไปใช้บริการได้
          หลายร้อยปีผ่านไป ขั้นตอนในการทำช็อกโกแลตก็ยังไม่เคยเปลี่ยน เป็นการใช้แรงงานคนในการบดเมล็ดโกโก้ ซึ่งแน่นอนว่า วิธีนี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นได้ ใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายสูง จึงทำให้ช็อกโกแลตมีต้นทุนที่สูงตามไปด้วย และนี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมในยุคก่อนหน้านี้ ช็อกโกแลตถึงกลายเป็นอาหารของชนชั้นสูง และคนมีอันจะกิน
            จนมาถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (ปลายศตวรรษ 1700) เมื่อนักประดิษฐ์ได้คิดและสร้างเครื่องจักร   ไอน้ำสำเร็จ ทำให้กระบวนการผลิตช็อกโกแลตจำนวนมากแต่ใช้เวลาน้อย และต้นทุนการผลิตต่ำกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากยิ่งขึ้น และกระบวนการทำช็อกโกแลตก็ถูกปรับเปลี่ยนให้รวดเร็วและง่ายขึ้น ราคาของช็อกโกแลตจึงสามารถจับต้องได้มากขึ้น คนทั่วไปก็สามารถหาซื้อมากินได้เท่า ๆ กัน ช็อกโกแลตก็ถูกประยุกต์จากรุ่นสู่รุ่นมาเรื่อย ๆ ให้กลายเป็นอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มมา
                  จนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นในช่วง ปี ค.ศ. 1765 ในยุโรปและอเมริกาก็ได้เกิดโรงงานผลิตช็อกโกแลตจากเมล็ดโกโก้ขึ้นหลายแห่ง ต่างมุ่งพัฒนาและประยุกต์ผลผลิตจากเมล็ดโกโก้จนกลายเป็นช็อกโกแลตที่มาในรูปแบบอื่น ๆ เช่น นมช็อกโกแลต ช็อกโกแลตแบบแท่ง ฯลฯ จนมาถึงผลิตภัณฑ์จากช็อกโกแลตมากมายนับไม่ถ้วนในปัจจุบันนี้นี่เอง


https://moneyinc.com








ช็อกโกแลตกับยุโรป

ช็อกโกแลตกับยุโรป


สเปน ผู้นำเข้าช็อกโกแลตไปยังยุโรป
          ความนิยมของช็อกโกแลตก็เป็นที่เลื่องลือมาจนถึงทวีปยุโรป โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากชาวสเปน (ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 15) กับบุรุษนักสำรวจชาวสเปนที่มีนามว่า เฮอร์นันโด คอร์เทส เขาเข้าไปแสวงหาความมั่งคั่งที่อาณานิคมของชาวแอซเทคแล้วก็ไปพบเจอกับช็อกโกแลตนี้เข้า ก็เลยนำช็อกโกแลตกลับมายังประเทศด้วย และก็แน่นอนเลยว่า เจ้าช็อกโกแลตก็กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว และไม่นานช็อกโกแลตก็ได้รับความนิยมไปทั่วทั้งยุโรป เป็นจุดเริ่มต้นในการค้าขายเมล็ดโกโก้ระหว่างสเปนกับแอซเทคอย่างเป็นทางการ
          ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังจากเกิดสงครามระหว่างสเปนกับชาวแอซเทค และสเปนก็เป็นฝ่ายชนะสงคราม จึงบังคับให้ชาวแอซเทคส่งต้นคาเคามาเป็นเครื่องบรรณาการแทนเงิน และเข้ายึดครองไร่คาเคาของชาวแอซเทคทั้งหมดเสียเลย 
          แต่การดื่มช็อกโกแลตของชาวสเปนนั้นจะแตกต่างจากต้นตำรับชาวมายาและชาวแอซแทค จะไม่นิยมดื่มช็อกโกแลตที่มีรสชาติขมและเฝื่อน จึงริเริ่มนำช็อกโกแลตไปต้มแล้วใส่ส่วนผสมอื่น ๆ ลงไป ก็จะได้ช็อกโกแลตที่มีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิม และไม่นานก็มีคนหัวใจคิดจะเติมน้ำตาลลงไปในช็อกโกแลต แถมยังใส่ผงอบเชยหรือซินนามอนลงไปด้วย เท่านั้นแหละ ช็อกโกแลตรสชาติหอมหวานชวนดื่มก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างจริงจัง ไม่เท่านั้น สเปนยังได้คิดค้นเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ในการทำช็อกโกแลตแบบจริงจังชื่อว่า "โมลินีโอ" เป็นไม้สำหรับเอาไว้คนช็อกโกแลตให้กลายเป็นโฟมละเอียดง่ายขึ้น และจากนั้นช็อกโกแลตก็กลายเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมไปทั่วยุโรป

ยุโรปเจ้าแห่งช็อกโกแลต
          หลังจากที่สเปนนำพาช็อกโกแลตเข้ามาเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยม ในหมู่คนชั้นสูง และกลุ่มเจ้าขุนมูลนาย คนมีอันจะกินของยุโรป หลาย ๆ ประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ก็เลยนำเอาพันธุ์พืชคาเคาส่งไปปลูกตามเมืองขึ้นของตัวเองเสียเลย พอเมืองขึ้นเหล่านั้นได้ผลผลิตจากต้นคาเคามาก็ส่งกลับมาให้เจ้าอาณานิคมมากมายมหาศาล และนี่เองที่ทำให้ยุโรปกลายเป็นอาณานิคมแห่งช็อกโกแลตไปโดยปริยาย ส่วนชาวยุโรปจะนิยมบดเมล็ดโกโก้แล้วนำไปชงดื่มกับน้ำตาล และให้ถือว่าเป็นสินค้ามีค่าราคาแพงตั้งแต่บัดนั้น

http://vadoabarcellona.com


ประวัติช็อกโกแลต

ประวัติช็อกโกแลต


จุดกำเนิดของช็อกโกแลต
          ช็อกโกแลต เกิดขึ้นมาจากภูมิปัญญาของมนุษย์ในสมัยโบราณกว่า 2,000 ปีที่แล้วโน่น ตามหลักฐานเชื่อว่า เป็นชาวมายาและชาวแอซแทคแห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา (หรือเมืองเม็กซิโก ซิตี้ในปัจจุบัน) ซึ่งแรกเริ่มเดิมที ชาวมายาได้ค้นพบว่า เมล็ดจากต้นโกโก้ (Cacao) มีความลับที่น่าทึ่งซ่อนอยู่และสามารถนำมาประกอบอาหารได้อย่างไม่น่าเชื่อ 
          โดยครั้งแรกที่ชาวมายาค้นพบต้นโกโก้ที่ป่าฝน และรู้ว่าต้นโกโก้นี้สามารถนำมาทำอาหารได้ ชาวมายาได้นำเมล็ดโกโก้มาทำเป็นเครื่องดื่ม ด้วยวิธีการนำเมล็ดโกโก้มาบดให้ละเอียดแล้วนำไปผสมกับเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ที่มีในถิ่นกำเนิดจนได้เครื่องดื่มที่มีรสชาติขมและค่อนข้างเฝื่อนขึ้นมา จากนั้นก็ได้พัฒนาเป็นอาหารอื่น ๆ ตามวิวัฒนาการของพวกเขา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งเอามาก ๆ ในยุคนั้น พวกเขาจึงได้ให้ความหมายของคำว่า โกโก้ (Cacao) เอาไว้ว่าเป็นอาหารแห่งเทพ จากนั้นชาวมายาเลยยกขบวนไปนำต้นโกโก้จากป่าฝนมาปลูกไว้ที่บ้านของตัวเองเสียเลย จากนั้นก็เก็บเมล็ดโกโก้มาประกอบอาหาร เช่น นำไปหมัก คั่ว และบดให้เป็นเนื้อเหนียว ๆ ไว้สำหรับชงเป็นเครื่องดื่ม โดยนำไปผสมน้ำและเครื่องเทศ เช่น พริกไทย หรือแป้งข้าวโพด และนี่ก็เป็นจุดกำเนิดของเครื่องดื่มช็อกโกแลตนั่นเอง

คำว่า "Chocolate" มาจากไหน ?
          ว่ากันว่า คำว่า Chocolate มาจากภาษามายา หมายถึง การดื่มช็อกโกแลต เป็นการรวมกันของคำว่า "Chocol" ของชาวมายาที่แปลว่า "ร้อน" แล้วมาผสมกับคำว่า "atl" ของชาวแอซเทค แปลว่า "น้ำ" รวมกันเป็น "chocolatl" หรือ "ช็อกโกลาตส์" นั่นเอง ก่อนจะเพี้ยนมาเป็นคำว่า ช็อกโกแลต (Chocolate) ตามสำเนียงของชาวอังกฤษในช่วงต่อมานั่นเอง

https://foodofme.wordpress.com


ประโยชน์ของโกโก้

ประโยชน์ของโกโก้


โกโก้ เป็นพืชชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในอาหารประเภทถั่ว (nut) มีส่วนประกอบทางทางมีมากกว่า 700 ชนิด มีการศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจนยอมรับว่า โกโก้เป็นอาหารคุณประโยชน์อนันต์ชนิดหนึ่ง (super food) ของมนุษย์ สามารถนำมารับประทานได้ปลอดภัย ลำดับรองลงมาจากน้ำบริสุทธิ์ นอกจากนั้น ยังถือว่าเป็นยาที่ดีชนิดหนึ่งอีกด้วย

สารอาหารสำคัญและประโยชน์ของโกโก้

1.สารโพลีฟีนอลล์ (polyphenols) ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือฟลาวานอลล์ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ สารเหล่านี้พืชผลิตขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ใช่เซลล์ของตัวเองตายก่อนที่ควรจะเป็น ในร่างกายมนุษย์เราก็เช่นกัน จะมีปฏิกิริยาเคมีตามธรรมชาติเพื่อทำลายเซลล์ของตัวเราเอง เป็นสาเหตุทำให้คนเราแก่ลง และในโกโก้มีสารที่ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยานั้นนั่นเอง จึงมีฤทธิ์ชะลอการตายของเซลล์ ชะลอความแก่ให้แก่มนุษย์ได้ สารชนิดนี้ยังพบมากในอาหารอีกหลายชนิด เช่น ชาเขียว ชาดำ องุ่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และไซตรัส

2.มีฤทธิ์สารต้านการอักเสบ ซึ่งมีผลดีต่อระบบการไหลเวียนเลือด ป้องกันการเกิดภาวะแข็งตัวของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย

3.โกโก้มีผลดีต่อระบบไหลเวียนเลือด จึงช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดการเกิดโรคหัวใจลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์อัมพาต) มีผลดีต่อระบบหายใจ ลดหอบหืดและการไอ นอกจากนั้นยังสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย

4.โกโก้ช่วยลดไขมันและลดระดับคอลเลสเตอรอล

5.มีสารทำให้สมองหลั่งสารเคมีที่ทำให้มีความสุขได้แก่ สารโดปามีน และ สารเซโรโทนิน จึงทำให้คนเรามีอารมณ์ดีและมีความสุขหลังได้ดื่ม ดังนั้น โกโก้ จึงมีคุณสมบัติในการป้องกันและรักษาการเกิดอาการซึมเศร้าซึ่งเกิดจากการที่สมองขาดสารเซโรโทนิน ลดการเกิดภาวะเครียด ป้องกันการเกิดอาการชัก และยังช่วยให้คนเราสามารถนอนหลับได้ง่ายอีกด้วย

6.โกโก้ในปริมาณมากระดับหนึ่ง เมื่อได้รับเข้าร่างกายอย่างต่อเนื่องประมาณ 1 เดือนขึ้นไป มีผลดีต่อสมองด้านความจำ คือทำให้ความจำ ความคิด การตัดสินใจ การรับรู้ การเรียนรู้ และสติดีขึ้น เนื่องจากในโกโก้มีสารที่มีคุณสมบัติป้องกันการเสื่อมหรือการตายของเซลล์สมอง สำหรับผู้สูงอายุจะสามารถยับยั้งภาวะความจำถดถอยได้

7.สารคาเฟอีนและธีโอโบรมีนในโกโก้ ช่วยกระตุ้นสมองส่วนกลาง แต่คาเฟอีนในโกโก้มีปริมาณน้อย คือประมาณ 50 กรัม จะมีคาเฟอีนอยู่ราว 10-60 มิลลิกรัมเท่านั้น ในขณะที่กาแฟ 1 ถ้วย มีคาเฟอีนสูงถึง 150 มิลลิกรัม

https://www.ifit4health.com

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

รู้จักกับช็อกโกแลตที่ใช้ทำเบเกอรี่



รู้จักกับช็อกโกแลตที่ใช้ทำเบเกอรี่


ช็อกโกแลต เป็นของหวานที่หลายคนชื่นชอบ เรามักพบช็อกโกแลตในขนมหรือเบเกอรี่ต่างๆแต่คุณรู้จักกับช็อกโกแลตในการทำเบเกอรี่ดีขนาดไหน หรือบางคนอยากลองทำเบเกอรี่ที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลต แต่ไม่รู้ว่าช็อกโกแลตมีกี่ประเภทแต่ละประเภทใช้ทำอะไร วันนี้เราจะทาทำความรู้จักกับประเภทของช็อกโกแลตที่ใช้ทำเบเกอรี่ว่ามีอะไรบ้างไปดูกันเลย


ประเภทของช็อกโกแลตที่ใช้ในการทำเบเกอรี่

1.Unsweetened chocolate หรือ Baking chocolate ช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์หรือที่รู้จักกันในนาม ช็อกโกแลตฝาด คือช็อกโกแลตที่ทำจากเนื้อโกโก้ หรือ Chocolate liquor มี่ไม่มีการเพิ่มความหวานหรือเพิ่มปริมาณโกโก้บัตเตอร์เลย จึงมีเนื้อโกโก้อยู่ถึง 99-100% โดยจะใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำบราวนี เค้ก ลูกกวาด และคุกกี้ มักใช้ทำเบเกอรี่เป็นหลัก มักวางขายเป็นชนิดแท่ง

https://shop.scharffenberger.com



2.Dark chocolate เป็นช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมหลัก ได้แก่ เนื้อโกโก้หรือ Chocolate liquorโกโก้บัตเตอร์,น้ำตาลอิมัลซิฟายเออร์ เช่น เลซิทิน, สารแต่งกลิ่น เช่น วานิลลา และอาจมีไขมันนมเป็นส่วนผสมเพื่อให้ช็อกโกแลตนุ่มขึ้น แต่จะไม่มีรสชาติของนม ดาร์กช็อกโกแลต จะต้องมีเนื้อโกโก้อย่างน้อย 35 % ขึ้นไปโดยส่วนใหญ่ดาร์กช็อกโกแลตคุณภาพดีที่ใช้ทำขนมต้องมีปริมาณเนื้อโกโก้อยู่ระหว่าง 50-72% ขึ้นไป เพื่อให้ขนมมีรสชาติของช็อกโกแลตเข้มข้น ถ้ามีเนื้อโกโก้มากจะมีน้ำตาลน้อย รสชาติของช็อกโกแลตจะยิ่งเฝื่อน ดาร์กช็อกโกแลต แบ่งออกเป็นสองชนิด คือ Semi-sweet chocolate มีเปอร์เซ็นต์โกโก้เป็นส่วนประกอบไม่น้อยกว่า 35%และ Bittersweet chocolate มีเปอร์เซ็นต์โกโก้ไม่น้อยกว่า 50% ควรเลือกซื้อโดยอ่านฉลากช็อกโกแลตว่ามีปริมาณเนื้อโกโก้กี่เปอร์เซ็นต์ มีไขมันพืชหรือไม่ หากในสูตรขนมบอกให้ใช้ Semi-sweet chocolate จะนำ Unsweetened chocolate มาใช้แทนโดยการใส่น้ำตาลเพิ่มลงไปนั้นทำไม่ได้เด็ดขาด

https://www.whittakers.co.nz



3.Milk chocolate มิลค์ช็อกโกแลต มิลค์ช็อกโกแลตมีรสหวาน รับประทานง่าย เป็นช็อกแลตที่มักพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาด ที่เรามักทานเล่นกันเป็นประจำ จัดเป็น eating chocolate ที่นิยมและรู้จักกันมากที่สุดในบรรดาช็อกโกแลตทั้งหลายเป็นช็อกโกแลตที่มีส่วนประกอบของโกโก้ลิเคอร์ เนยโกโก้ น้ำตาล นมผง ส่วนมากจะมีส่วนผสมของนมผงมากกว่าโกโก้ลิเคอร์ มีส่วนผสมของเนื้อโกโก้ 10 – 20 % และนมผง 12 % ส่วนใหญ่เป็นช็อกโกแลตแท่งใส่ถั่วหรือผลไม้

https://www.target.com



4.White chocolate ในทางเทคนิคแล้วไม่ถือเป็นช็อกโกแลต เพราะไม่มีส่วนผสมของเนื้อโกโก้เลย มีเพียงน้ำตาล โกโก้บัตเตอร์ นมผง ไขมันนม และกลิ่นวานิลลา White chocolate นี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าโกโก้บัตเตอร์ ควรใช้ White chocolate ที่มีคุณภาพสูงที่ต้องมีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์แทนไขมันพืชดังนั้นควรอ่านฉลากส่วนประกอบก่อนซื้อเสมอ
https://chocolatera1n.weebly.com



5.Chocolate chips มีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ในปริมาณน้อยกว่าช็อกโกแลตแบบแท่ง และมักมีแป้งอยู่ในส่วนผสมอยู่มากเพื่อให้คงรูปอยู่ได้เวลาที่นำไปอบแล้วรสชาติก็จะอร่อยแตกต่างกัน ช็อกโกแลตชิปบางยี่ห้อที่ราคาถูกอาจใช้น้ำมันพืชแทนโกโก้บัตเตอร์ ช็อกโกแลตชิปมี 2 ขนาด คือ ขนาดปกติ และขนาดเล็ก ไม่สามารถใช้แทนช็อกโกแลตแบบแท่งหรือแบบเหรียญได้
https://nuts.com



6.Compound chocolate หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อ คือ Chocolate coating ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้ไขมันพืชแทนโกโก้บัตเตอร์ ทำให้คงรูปและเซ็ตตัวได้ดีกว่าช็อกโกแลตไม่ต้องผ่านการ temper ก่อนใช้ แต่รสชาติและเนื้อสัมผัสไม่เหมือนช็อกโกแลตที่มีราคาแพงและคุณภาพดี จัดเป็นช็อกโกแลตที่ใช้ง่ายและราคาถูก ไม่นิยมนำมาเป็นวัตถุดิบในขนมอบ หรือเป็นส่วนผสมของครีมและมูส เพราะจะทำให้ขนมมีรสสัมผัสไขๆ เหมือนขี้ผึ้งและรสไม่อร่อย เหมาะสำหรับใช้เคลือบหน้าขนมหรือไอศกรีมมากกว่า

http://www.pastrychef.com




7.Cocoa powder คือผงที่ได้จากการสกัดโกโก้บัตเตอร์ออกจาก Chocolate liquor หรือโกโก้แมสในกระบวนการผลิต ซึ่งจะทำให้เหลือเศษของแข็ง (Dry cakes) และเมื่อนำเศษของแข็งไปบดและป่นจนละเอียดก็จะกลายเป็นผงโกโก้ ผงโกโก้มีหลายชนิด 
ขึ้นอยู่กับไขมัน (โกโก้บัตเตอร์) ที่ยังเหลืออยู่หลังจากผ่านกระบวนการผลิตแล้ว โกโก้ทั่วไปจะมีไขมันอยู่ประมาณ 10-22% ผงโกโก้ที่ใช้ในการทำขนมจะเป็นชนิด Unsweetenedผงโกโก้ที่เราเห็นทั่วๆไป มีอยู่ 2 ชนิด คือ
   1.Natural Cocoa / Non alkalized Cocoa ยี่ห้อที่เห็นตามซูเปอร์มาร์เก็ตก็คือ Hershey’s เวลาใช้มาทำขนมอบจะต้องเติมเบกกิ้งโซดาลงไปลดความเป็นกรดลง
   2.Alakalized Cocoa / Dutch ProcessedCocoa เป็นผงโกโก้ (ชนิดไม่หวาน) ที่ผ่านกระบวนการเพิ่มความด่าง (Alkalized) ทำให้ผงโกโก้ที่โดยปกติจะมีความเป็นกรดสูงนั้นเป็นกลาง มีสีน้ำตาลแดงเข้ม และรสชาติที่อ่อนโยนขึ้น ยี่ห้อที่เห็นทั่วไปก็คือ Droste หรือตรานางพยาบาล ส่วนใหญ่ก็จะใช้แบบนี้ในการทำเค้กช็อกโกแลต หรือบราวนี่
https://www.seriouseats.com



8.Couverture chocolate ช็อกโกแลตสำหรับแต่งหน้าเค้กหรือกูแวร์ตูช็อกโกแลต เชฟเบเกอรีนิยมใช้ในการทำขนมทุกประเภท เพราะมีรสชาติอร่อย ลักษณะพิเศษคือมีความเงางาม และมีเนื้อสัมผัสแข็ง ไม่เปราะง่าย เนื่องจากมีปริมาณโกโก้บัตเตอร์มากกว่าช็อกโกแลตทั่วไปอย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ทั้งรสชาติและเนื้อที่เงางาม ทำให้ขนมที่ได้มีรสอร่อยกว่าขนมที่ใช้ช็อกโกแลตทั่วไปทำ

http://www.dailyfresh.com.au



9.Chocolate pistoles หรือ Chocolate buttons เป็นช็อกโกแลตรูปเหรียญ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ1/2 นิ้ว ถึง 1 นิ้ว มีทุกชนิด ทั้งดาร์กช็อกโกแลต มิลค์-ช็อกโกแลต ไวท์ช็อกโกแลต และเป็นกูแวร์ตูช็อกโกแลตนิยมใช้ในการทำเบเกอรี เพราะสะดวกสามารถนำไปละลายได้เลย ไม่ต้องนำไปสับก่อนเหมือนช็อกโกแลตแท่ง

https://www.gourmetfoodworld.com



วิวัฒนาการของช็อกโกแลต

วิวัฒนาการของช็อกโกแลต           หลังจากที่ช็อกโกแลตถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการในช่วงยุคล่าอาณานิคมมาอย่างยาวนาน ในเวลาต่อมาเมื่อชาวอังกฤษ...